เกี่ยวกับเรา
บ้านผู้หว่าน
ศูนย์ฝึกอบรมงานอภิบาลบ้านผู้หว่าน ถือกำเนิดขึ้นจากความตั้งใจและนโยบายของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ซึ่งชื่ออย่างเป็นทางการคือมิสซังโรมันคาทอลิกกรุงเทพฯ เป็นองค์กรทางศาสนาที่ไม่หวังผลกำไร
ทั้งนี้เพื่อสนองตอบต่อนโยบายของพระศาสนจักรสากล ซึ่งกำหนดบทบาทให้พระศาสนจักรท้องถิ่น ส่งเสริม สนับสนุน การจัดประชุม การสัมมนา การฝึกอบรม และการจัดหลักสูตรต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านคำสอนคริสตศาสนา เทวศาสตร์ ชีวิตจิต วิชาการทั่วไป และทำความเข้าใจกับปัญหาสังคมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อฝึกทักษะในงานอภิบาล และแพร่ธรรม แก่ทุกภาคส่วนในพระศาสนจักร และสังคมในระดับประเทศชาติและในระดับสากล
“บ้านผู้หว่าน” ได้รับการออกแบบมาเพื่อเป้าหมายหลัก คือ การจัดประชุมสัมมนา โดยประกอบไปด้วยห้องพักจำนวน 180 ห้อง หอประชุมใหญ่ ห้องประชุมเล็ก ห้องประชุมย่อย พร้อมด้วยโสตทัศนูปกรณ์อันทันสมัยประจำแต่ละห้อง ระบบต่าง ๆ รองรับและได้มาตรฐานในระดับสากล
พร้อมทั้งมีพื้นทีสำหรับประกอบศาสนกิจและส่งเสริมความศรัทธาและความเชื่อได้แก่ วัดสำหรับคนจำนวนมาก และวัดน้อยสำหรับกลุ่มย่อย
นอกจากนั้นยังมีมีสระว่ายน้ำ สนามเทนนิส สนามกีฬา และลานจอดรถที่จุรถทั้งหมดได้กว่า 200 คัน พร้อมด้วยบรรยากาศร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาชนิด และทิวทัศน์ทะเลสาบอันสวยงาม พร้อมกับร้านกาแฟเล็กๆ มุมสงบ และสวนที่ถูกจัดไว้อย่างสวยสงบร่มรื่น เหมาะกับการนั่งพักเปลี่ยนอิริยาบถ และอาหารที่จัดเตรียมพร้อม ถูกสุขอนามัย รสชาติอร่อย ปรับเปลี่ยนไม่ให้ซ้ำตามวันเวลาของบรรดาผู้เข้ามาใช้บริการ ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะกับการเป็นบ้านอบรมในธรรมชาติแบบคาทอลิก
อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ในสมัยของของพระคาร์ดินัลไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู ได้เป็นผู้ริเริ่มให้ศูนย์ฝึกอบรมบ้านผู้หว่านแห่งนี้ เมื่อปี 1995 และยังดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อให้บ้านแห่งนี้เป็นบ้านแห่งการอภิบาล อบรม และเพื่อให้จิตตารมณ์ของพระศาสนจักรสากลได้สำเร็จลุล่วง
ชื่อ “บ้านผู้หว่าน”
“เปาโลเป็นผู้ปลูก อปอลโลเป็นผู้รดน้ำ
แต่พระจิตของพระเจ้าทรงทำให้เติบโต”
นาม “ผู้หว่าน” เป็นนามปากกาของพระอัครสังฆราช ยอแซฟ ยวง นิตโย ซึ่งเป็นพระอัครสังฆราชคาทอลิกชาวไทยองค์แรก ที่เป็นประมุขของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
พระคุณเจ้ายอแซฟ ยวง นิตโย เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1908 ท่านรับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1935 และได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราช เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1963
ท่านปกครองดูแลอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ในฐานะประมุขตั้งแต่ ค.ศ. 1965 จนถึง ค.ศ. 1973 ต่อจากนั้นท่านได้ลาพักจากหน้าที่ เนื่องจากสุขภาพไม่ดี และได้พำนักอยู่ ณ สามเณราลัยนักบุญ ยอแซฟ สามพราน สถานที่ซึ่งท่านได้สร้าง และทุ่มเทพลังกายใจ เพื่อการอบรม และเตรียมบรรดาสามเณรให้เป็นพระสงฆ์
พระคุณเจ้ายวง นิตโย เป็นอาจารย์ผู้เปี่ยมด้วยความรู้ และความรักต่อทุกๆคน ท่านเป็นนักเขียนที่มีผลงานมากมาย เป็นที่ยอมรับ และยังมีโอกาสได้สอนภาษาลาตินในวัง ท่านใช้นามปากกาในงานเขียนของท่านว่า”ผู้หว่าน” เพื่อสะท้อนงานที่ท่านทำทั้งหวดว่า “ผู้หว่านได้ออกไปหว่านพืช” และเหมือนดังที่ท่านนักบุญเปาโลได้เขียนไว้ในบทจดหมายของท่านว่า “เปาโลเป็นผู้ปลูก อปอลโลเป็นผู้รดน้ำ แต่พระจิตของพระเจ้าทรงทำให้เติบโต”
ดังนั้น ด้วยความเคารพรักต่อพระคุณเจ้ายอแซฟ ยวง นิตโย พระคาร์ดินัลไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู ได้สร้างศูนย์ฝึกอบรมงานอภิบาลแห่งนี้ เพื่อเป็นเกียรติสำหรับพระคุณเจ้ายอแซฟ ยวง นิตโย จนสำเร็จ และตั้งชื่อศูนย์ฝึกอบรมฯ แห่งนี้ว่า “บ้านผู้หว่าน” ตามนามปากกาของพระคุณเจ้ายวง นิตโย ชื่อ “บ้านผู้หว่าน” นี้ เป็นชื่อที่เปี่ยมด้วยความหมายตามจุดประสงค์ และเจตนารมณ์ของพระศาสนจักร
นับจากวันที่บ้านหลังนี้ได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1995
ตราสัญลักษณ์ของบ้านผู้หว่าน
Designer
สัญลักษณ์ของบ้านผู้หว่านคือ “รูปรวงข้าว มีลักษณะเหมือนกางเขน และมีเฉดสีต่างๆ”
รูปรวงข้าวที่เป็นรูปกางเขน หมายถึง “ข่าวดีของพระเยซูเจ้า”
สีต่างๆ หมายถึง “สีตามเทศกาลต่างๆ ทางศาสนา”
เครื่องหมายนี้ได้รับอิทธิพลความคิดจากรูปปกหนังสือสวดทำวัตรของพระสงฆ์ฉบับภาษาอังกฤษ และปก หนังสือประจำมิสซาภาษาอังกฤษที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ กรุงเทพฯ อีกทั้งใช้สัญลักษณ์รวงข้าว บ่งบอกถึงความเป็นไทย และเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับชื่อ “ผู้หว่าน” ที่ได้หว่านเมล็ดพันธุ์พืช คือ พระวาจาของพระเจ้า ลงบนสถานที่แห่งนี้
ความหมายของสี
สีทอง
เป็นสีที่บ่งบอกถึงการผ่านพ้นจากบาป หรือความตายไปสู่ชีวิตใหม่ เพราะฉะนั้นจึงเป็นสีที่ใช่ในการล้างบาปและศีลกำลัง เป็นสีที่แสดงถึงความสะอาดบริสุทธิ์จากการได้รับศีลล้างบาป และเป็นสีที่แสดงถึงความบริสุทธิ์แห่งศีลพรหมจรรย์ด้วย
สีม่วง
สีผสมเท่าๆ กันระหว่างฟ้ากับแดง จึงความหมายถึงความรัก (=แดง) ในความสัตย์จริง (=ฟ้า) และความสัตย์จริงในความรัก (=แดง) ซึ่งมาจากพระเป็นเจ้า (=ฟ้า) และเพื่อจะเป็นพยานของความรัก และความสัตย์จริงนี้ พระบุตรผู้เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ยอมทนทรมานจนถึงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
สีเขียว
เป็นสีผสมของสีเหลืองกับสีฟ้า สีเหลืองหรือทอง หมายถึง นิรันดรภาพและความเชื่อ ปรีชาญาณ และความรุ่งโรจน์ ส่วนสีฟ้าเป็นสีของพระเป็นเจ้า พระบิดา หมายถึง ความสัตย์จริงที่แสดงออกทางลมปราณของพระเจ้า หรือพระจิตเจ้า สีแห่งความไม่รู้ตายและความกระหายของมนุษย์ที่จะได้ชีวิตเหนือธรรมชาติ และเป็นอมตะ
สีแดง
สีที่หมายถึงไฟ เลือด ชีวิต และการยอมตายเป็นมรณสักขี ซึ่งก็ให้ความหมายตามมาว่าเป็นความรัก (พระจิตเจ้า ปีกของเครูบ รัศมีของมรณสักขี อาดัมที่ถูกสร้างจากดิน (แดง)